๕๐ ประเด็นเด่นของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช .........
เปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
ลำดับที่ |
มาตรา |
ร่างรัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช .... |
รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช ๒๕๔๐ |
เหตุผล |
Û๑ |
๒๘ วรรคสาม |
สิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่รัฐธรรมนูญได้รับรองและคุ้มครองไว้ มีผลทันทีแม้จะยังไม่มีกฎหมายลูกออกมาก็ตาม
|
ใช้คำว่า ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งทำให้มีการตีความว่า สิทธิและเสรีภาพของประชาชนจะมีได้สมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้แล้วเท่านั้น |
เพื่อให้สิทธิและเสรีภาพของประชาชน |
Û๒ |
๓๐ |
ส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชาย มากกว่าเดิมโดยกำหนดไว้ในบทบัญญัติต่าง ๆ เช่น ในการจัดทำบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง ส.ส. แบบสัดส่วน ในการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติที่มีสาระสำคัญเกี่ยวกับเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ เป็นต้น |
กำหนดไว้เพียงหลักกว้าง ๆ ในมาตรา ๓๐ เท่านั้น |
สตรีจะได้รับการส่งเสริมมีบทบาทในด้านต่าง ๆ มากขึ้น |
๓ |
๓๕ |
คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจากการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ |
ไม่ได้คุ้มครองครอบคลุมไปถึง |
ประชาชนจะได้รับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลครอบคลุมกว้างขวางขึ้นกว่าเดิม |
๔ |
๔๐ |
ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้สะดวก รวดเร็ว ทั่วถึง และเป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ จะมีสิทธิได้รับความคุ้มครองในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในคดีที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ
|
บัญญัติรายละเอียดซึ่งมีบัญญัติไว้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอยู่แล้ว
|
ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญในการประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม และได้รับการปฏิบัติในกระบวนพิจารณาอย่างเหมาะสม นอกจากนี้เด็ก เยาวชน และสตรี จะได้รับการปฏิบัติในกระบวนพิจารณาคดีที่เหมาะสมขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะในคดีที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ ซึ่งเป็นคดีที่กระทบต่อความรู้สึกของผู้เสียหายมาก |
๕ |
๔๒ |
คุ้มครองให้ประชาชนได้รับค่าทดแทนจากรัฐที่เป็นธรรมขึ้นจากการเวนคืนที่ดิน
โดยให้คำนวณจากราคาปกติในท้องตลาด การได้มา สภาพที่ตั้ง ความเสียหายของ |
กำหนดให้คำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติ การได้มา สภาพที่ตั้ง และความเสียหายของผู้ถูกเวนคืนเท่านั้น |
ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการเวนคืนที่ดินจะได้รับค่าทดแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรมมากกว่าเดิม |
๖ |
๔๔ |
ให้สิทธิประชาชนในการได้รับหลักประกันและสวัสดิภาพในการทำงาน
|
ไม่มี |
ประชาชนผู้ใช้แรงงานจะมีสิทธิมากขึ้นในการได้รับหลักประกันและสวัสดิภาพในการทำงานจากรัฐ ทั้งในขณะทำงานและพ้นจากการทำงาน
|
Û๗ |
๔๕, ๔๖, ๔๗, ๔๘ |
ให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น
ห้ามจำกัดหรือแทรกแซงการแสดงความคิดเห็นของสื่อฯ ให้พนักงานลูกจ้างของสื่อฯ
มีสิทธิจัดตั้งองค์กรเพื่อป้องกันสิทธิของตน การห้ามผู้ดำรงตำแหน่ง |
ไม่มีการห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในการเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นในกิจการที่เกี่ยวกับสื่อมวลชน |
การแสดงความคิดเห็นของประชาชนจะได้รับความคุ้มครองให้มีความเป็นอิสระมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชนจะได้รับความคุ้มครองจากการแทรกแซงการเสนอข่าวสารและความคิดเห็นโดยอิสระ ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารกว้างขวาง และตรงกับความเป็นจริงมากกว่าเดิม |
Û๘ |
๔๙ |
ให้สิทธิประชาชนได้รับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปีอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก จะต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐให้ได้รับการศึกษาอย่างทัดเทียมกับผู้อื่น |
บัญญัติเรื่องสิทธิในการได้รับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปีอย่างทั่วถึงเช่นกัน แต่ไม่ได้คุ้มครองไปถึงผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ |
ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ หรือ |
Û๙ |
๔๙ วรรคสาม |
ส่งเสริมการศึกษาทางเลือกของประชาชน การเรียนรู้ด้วยตนเอง และการเรียนรู้
|
ไม่มี |
การศึกษาของประชาชนจะไม่จำกัดอยู่เฉพาะแต่การศึกษาภายในโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังได้ขยายไปยังการศึกษาทางเลือก ศึกษาด้วยตนเอง ทั้งยังส่งเสริมให้มีการศึกษาตลอดชีวิต อีกด้วย |
๑๐ |
๕๒ วรรคแรก
วรรคสอง |
เด็กและเยาวชนมีสิทธิได้รับการพัฒนา
เด็ก เยาวชน สตรี และบุคคลในครอบครัว จะได้รับความคุ้มครองจากความรุนแรง และมีสิทธิได้รับการฟื้นฟูจากผลของความรุนแรงดังกล่าว |
ไม่มี
คุ้มครองเฉพาะเด็ก เยาวชน และบุคคลในครอบครัว จากการใช้ความรุนแรงเท่านั้น ไม่ได้คุ้มครองถึงสตรี และไม่ได้บัญญัติถึงการฟื้นฟูผู้ที่ได้รับความรุนแรงด้วย
|
เด็กและเยาวชนได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้มีการพัฒนาอย่างรอบด้าน ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา
สตรีซึ่งเป็นเพศอ่อนแอทางกายจะมีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากความรุนแรงเพิ่มขึ้น และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงแล้ว จะได้รับการฟื้นฟูให้กลับคืนสู่สภาวะปรกติมากที่สุด ซึ่งจะทำให้การคุ้มครองบุคคลดังกล่าวจากความรุนแรงมีความครบวงจรกว่าเดิม |
๑๑ |
๕๓ |
เพิ่มสิทธิให้ผู้สูงอายุที่ไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ จะได้รับความช่วยเหลือทั้งสวัสดิการ สิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ และความช่วยเหลืออื่น ๆ อย่างสมศักดิ์ศรี และเหมาะสมจากรัฐ
|
บัญญัติให้สิทธิในการได้รับความช่วยเหลือจากรัฐเท่านั้น แต่ไม่ได้กำหนดรายละเอียดว่า ผู้สูงอายุจะได้รับความช่วยเหลืออย่างไร |
ผู้สูงอายุจะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐอย่างแท้จริง และเพียงพอแก่การยังชีพ |
๑๒ |
๕๕ |
ให้สิทธิแก่บุคคลที่ไร้ที่อยู่อาศัยและไม่มีรายได้เพียงพอในการได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ |
ไม่มี |
เพิ่มสิทธิให้บุคคลที่ได้ที่อยู่อาศัยและไม่มีรายได้เพียงพอที่จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ และเป็นการแก้ปัญหาคนเร่ร่อนอีกด้วย |
Û๑๓ |
๖๑ |
กำหนดให้มีองค์การคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐ และรัฐต้องสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการขององค์การเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้วย |
กำหนดให้มีเพียงองค์การเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งไม่ได้กำหนดให้เป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐ และไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐ |
องค์การคุ้มครองผู้บริโภคจะมีความเป็นอิสระและมีงบประมาณในการดำเนินการมากกว่าเดิม ย่อมทำให้การคุ้มครองผู้บริโภคมีประสิทธิภาพกว่าเดิมด้วย |
Û๑๔ |
๖๒ |
ให้สิทธิและคุ้มครองบุคคลในการติดตามและร้องขอให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ของรัฐ |
ไม่มี
|
ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐมากกว่าเดิม |
Û๑๕ |
๖๔ วรรคสอง |
ให้สิทธิแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในการรวมกลุ่มเพื่อปกป้องสิทธิของตน
|
ไม่มี |
เพื่อให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถรวมกลุ่มกันเพื่อปกป้องสิทธิของตนได้ แต่ต้องไม่กระทบต่อประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินและความต่อเนื่องของการจัดทำบริการสาธารณะ |
Û๑๖ |
๖๗ |
ขยายสิทธิชุมชน โดยการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ จะต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียก่อน และชุมชนมีสิทธิที่จะฟ้ององค์กรของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายรับรองเรื่องสิทธิชุมชนไว้ |
ไม่มี |
ประชาชนจะมีส่วนร่วมมากขึ้นในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ และประชาชนซึ่ง |
๑๗ |
หมวด ๕ |
บัญญัติแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐให้มีความชัดเจน ครอบคลุม และมีผลผูกพันต่อรัฐบาลด้วย |
กำหนดไว้กว้าง ๆ แต่ไม่มีสภาพบังคับใด ๆ ต่อรัฐบาลเลย |
เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารประเทศของรัฐบาล และมีผลผูกพันรัฐบาลมากขึ้น |
Û๑๘ |
๘๔ (๘) |
รัฐต้องส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกรในรูปของสภาเกษตรกร เพื่อวางแผนการเกษตรและรักษาผลประโยชน์ร่วมกันของเกษตรกร |
ไม่มี |
การมีสภาเกษตรกรย่อมทำให้เกษตรกรมีพลังเพียงพอที่จะรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตนได้มากขึ้น |
Û๑๙ |
๘๗(๔) |
รัฐต้องส่งเสริมการเมืองภาคพลเมืองโดยจัดให้มีกฎหมายจัดตั้งกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองเพื่อช่วยเหลือการดำเนินกิจกรรมสาธารณะของชุมชน |
ไม่มี |
เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้มแข็งในทางการเมือง กำหนดให้มีกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางการเมืองของประชาชน รวมทั้งการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชน |
๒๐ |
๙๓-๙๔ |
ระบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบแบ่งเขต กำหนดให้มีเขตที่ใหญ่ขึ้น โดยใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และแต่ละเขตเลือกตั้งจะมีผู้แทนได้ไม่เกิน ๓ คน (ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร) รวมทั้งสิ้น ๔๐๐ คน |
ระบบการการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต ๔๐๐ คน ใช้เขตเล็ก และแต่ละเขตมี ส.ส. ได้เขตละ ๑ คน
|
ระบบแบ่งเขตให้มีเขตใหญ่ขึ้นจะทำให้การซื้อเสียงทำได้ยากขึ้นกว่าเดิม
|
Û๒๑ |
๙๕ - ๙๘ |
ระบบการเลือกตั้ง ส.ส. แบบสัดส่วน ได้แบ่งออกเป็น ๘ กลุ่มจังหวัด แต่ละกลุ่มจังหวัดมี ส.ส. จากบัญชีรายชื่อได้ ๑๐ คน
|
ระบบบัญชีรายชื่อ ใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง จำนวน ๑๐๐ คน |
การกำหนดให้ระบบสัดส่วนแบ่งออกเป็น ๘ กลุ่มจังหวัด เพื่อป้องกันการผูกขาดโดยพรรคการเมืองใหญ่ คะแนนเสียงของระชาชนแต่ละเสียงมีความหมายมากที่สุด และคะแนนเสียงจะไม่กระจุกตัวอยู่ที่จังหวัดที่มีประชากรมาก ๆ เช่น กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ เป็นต้น |
Û๒๒ |
๙๕ - ๙๘ |
ในการนับคะแนนแบบสัดส่วนนั้น ไม่มีเกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำที่พรรคการเมืองจะต้องได้รับจึงจะมี ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อได้ |
ในการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ พรรคการเมืองจะได้คะแนนเสียงอย่างน้อยร้อยละ ๕ จึงจะได้ที่นั่งจากระบบนี้
|
ทำให้พรรคเล็ก ๆ ที่ไม่ได้รับคะแนนเสียงมากนัก มีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับที่นั่งในสภาฯ ได้ ซึ่งทำให้การผูกขาดเสียงในสภาทำได้ยากขึ้นด้วย |
Û๒๓ |
๑๐๑ |
ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีอีกต่อไป |
กำหนดให้ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จะต้องมีวุฒิปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย
|
เป็นการเปิดโอกาสให้คนดี คนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญแต่ไม่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีได้มีโอกาสเป็นผู้แทนของประชาชนได้ |
Û๒๔ |
๑๐๑ (๓) |
ลดระยะเวลาในการสังกัดพรรคการเมืองของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ในกรณียุบสภาลงเหลือเพียง ๓๐ วัน
|
ผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ได้จะต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า
|
สมาชิกพรรคการเมืองมีโอกาสในการตัดสินใจในการลงสมัครรับเลือกตั้งมากขึ้น โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของพรรคการเมืองมากเหมือนที่เคยเป็นมา |
๒๕ |
๑๐๒ |
เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติต้องห้ามของ ๑) ไม่เคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต ๒) เคยต้องคำพิพากษาจำคุกโดยพ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปี เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ๓) เป็นหรือเคยเป็น ส.ว. แต่ยังพ้นจากตำแหน่งไม่เกิน ๒ ปี ๔) เคยถูก ส.ว. ถอดถอนออกจากตำแหน่ง |
คุณสมบัติต้องห้ามของผู้ลงสมัคร ส.ส.
๑) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ๒) เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกตั้งแต่ ๒ ปีขึ้นไป โดยพ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปี เว้นแต่เป็นความผิดโดยประมาทหรือลหุโทษ ๓) เป็นสมาชิกวุฒิสภา ๔) เคยถูก ส.ว. ถอดถอนออกจากตำแหน่ง และยังไม่พ้น ๕ ปี
|
การกำหนดคุณสมบัติต้องห้ามให้เข้มข้นขึ้น จะทำให้ได้ ส.ส. ที่เป็นคนดี เหมาะสมที่จะเป็นตัวแทนของประชาชนมากกว่าเดิม |
๒๖ |
๑๐๔ |
ระหว่างอายุของสภาผู้แทนราษฎร จะควบรวมพรรคการเมืองไม่ได้ |
ไม่มี |
ฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจมากในสภาไม่สามารถที่จะควบรวมพรรคการเมืองอื่น เพื่อผูกขาดคะแนนเสียงในสภาได้อีกต่อไป |
๒๗ |
๑๐๖ |
ส.ส. พ้นจากตำแหน่งเมื่อต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษก็ตาม เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษในความผิดที่กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
|
ส.ส. พ้นจากตำแหน่ง เมื่อต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือเป็นความผิดลหุโทษ |
การที่กำหนดให้ ส.ส.
พ้นจากตำแหน่งเมื่อต้องคำพิพากษาให้จำคุกแม้จะมีการรอการลงโทษนั้น
เป็นการตัดผู้ที่มีพฤติการณ์ที่ |
Û๒๘ |
๑๐๘ |
แก้ไขระยะเวลาในการจัดการเลือกตั้งในกรณียุบสภา เป็น ไม่น้อยกว่า ๔๕ วัน แต่ไม่เกิน ๖๐ วัน
|
กำหนดไว้เพียงให้จัดให้มีการเลือกตั้งภายใน ๖๐ วัน |
ทำให้การกำหนดวันเลือกตั้งในกรณียุบสภาเร็วเกินไป โดยมีวัตถุประสงค์ทางการเมือง จนทำให้พรรคการเมืองอื่น ๆ เตรียมพร้อมในการเลือกตั้งครั้งต่อไปไม่ทัน ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป |
Û๒๙ |
๑๑๑ |
เปลี่ยนแปลงระบบการได้มาของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โดยให้มีที่มาสองทาง รวมทั้งสิ้น ๑๕๐ คน ดังนี้ ๑) มาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ ๑ คน รวม ๗๖ คน ๒) มาจากการสรรหา ๗๔ คน
|
ส.ว. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด จำนวน ๒๐๐ คน |
ลดจำนวน ส.ว. เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ได้สะดวกขึ้น และเปลี่ยนระบบการได้มาซึ่ง ส.ว. โดยให้ ส.ว. ส่วนหนึ่งมาจากการสรรหา ทำให้ ส.ว. มีความเป็นกลางทางการเมืองมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังเปิดโอกาสให้กลุ่มต่าง ๆ ในสังคม เช่น เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน ผู้พิการ สตรี ฯลฯ เข้ามามีบทบาททางการเมืองในฐานะ ส.ว. และสามารถทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น |
๓๐ |
๑๑๕ |
เพิ่มคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของ ส.ว. ให้เข้มข้นขึ้น เช่น - ไม่เป็นบุพการี คู่สมรส หรือบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือ ส.ส. - ไม่เป็นสมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง หรือเคยเป็นและพ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่เกิน ๕ ปี - ไม่เป็น ส.ส. หรือเคยเป็น ส.ส. แต่พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่เกิน ๕ ปี เป็นต้น |
ไม่มี |
ทำให้ได้ ส.ว. ที่มีความเป็นกลางทางการเมืองมากขึ้นกว่าเดิม |
๓๑ |
๑๑๙ |
ส.ว. พ้นจากตำแหน่งเมื่อต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษก็ตาม เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษในความผิดที่กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท |
ส.ว. พ้นจากตำแหน่ง เมื่อต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือเป็นความผิดลหุโทษ |
การที่กำหนดให้ ส.ว.. พ้นจากตำแหน่งเมื่อต้องคำพิพากษาให้จำคุกแม้จะมีการรอการลงโทษนั้น เป็นตัดผู้ที่มีพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในฐานะผู้แทนของประชาชนออกไป ซึ่งทำให้เกียรติ และศักดิ์ศรีของวุฒิสภาไม่มัวหมองไป |
Û๓๒ |
๑๒๒ |
ยืนยันให้ ส.ส. และ ส.ว.ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใด ๆ
|
ไม่มี |
เป็นการยืนยันให้มีความชัดเจนขึ้นกว่าเดิมว่า ส.ส. และ ส.ว. ต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติโดยปราศจากความครอบงำของกลุ่มการเมือง |
Û๓๓ |
๑๔๒, ๑๖๓, ๒๙๑ |
ลดจำนวนในการเข้าชื่อของประชาชนเพื่อเสนอร่างกฎหมายเหลือเพียง |
กำหนดให้ใช้รายชื่อถึง
๕๐,๐๐๐ รายชื่อ
|
การมีส่วนร่วมของประชาชนในการเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประชาชนจะทำได้ง่ายขึ้น
ทั้งยังสามารถมีบทบาทและมี |
Û๓๔ |
๑๕๘,๑๕๙ |
ส.ส. จำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๕ สามารถยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้
ส.ส. จำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๖
สามารถยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลได้
แม้ในขณะยื่นหรือหลังจากยื่นขอเปิดอภิปรายดังกล่าว
รัฐมนตรีผู้นั้นจะพ้นจากตำแหน่ง ไปเป็นรัฐมนตรี |
ส.ส. จำนวนไม่น้อยกว่า ๒ ใน ๕ สามารถยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้
ส.ส. จำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๕ สามารถยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลได้ แต่ถ้ารัฐมนตรีดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว จะไม่สามารถอภิปรายได้ |
การตรวจสอบการบริหารประเทศของฝ่ายบริหารทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีโดยฝ่ายนิติบัญญัติจะทำได้ง่ายขึ้น
|
Û๓๕ |
๑๖๐ |
เมื่อ ครม. บริหารราชการมาเกิน ๒ ปีแล้ว ฝ่ายค้านไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งสามารถยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลได้ |
ไม่มี |
การตรวจสอบรัฐบาลสามารถทำได้ แม้รัฐบาลจะคุมเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาก็ตาม ซึ่งต่างจากเดิมที่หากรัฐบาลกุมเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาแล้ว ฝ่ายค้านก็แทบจะไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้เลย |
Û๓๖ |
๑๖๔, ๒๗๑
|
ลดจำนวนในการเข้าชื่อของประชาชนเพื่อร้องขอให้ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเหลือเพียง ๒๐,๐๐๐ ชื่อ
|
กำหนดให้ใช้รายชื่อถึง
|
เพื่อให้การมีส่วนร่วมในการตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยประชาชนสามารถทำได้ง่ายขึ้นและเป็นไปได้จริงทางปฏิบัติ |
๓๗ |
๑๖๗ วรรคสอง |
กำหนดให้การกำหนดงบกลางต้องแสดงเหตุผลและความจำเป็นด้วย
|
ไม่มี |
ทำให้การกำหนดงบกลาง จะต้องได้รับการพิจารณาจากสภาด้วย อันจะเป็นการป้องกันการใช้งบกลางอย่างไร้วินัยทางการคลังได้ดียิ่งขึ้น |
Û๓๘ |
๑๗๐ |
เงินรายได้ใด ๆ ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดิน (เงินนอกงบประมาณ) ต้องรายงานต่อ ครม. และ ครม. รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ทุกสิ้นปี และการใช้จ่ายเงินดังกล่าวจะต้องอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลัง |
ไม่มี |
ทำให้รัฐบาลต้องระมัดระวังและมีวินัยในการใช้เงินนอกงบประมาณมากขึ้น จะใช้เงินดังกล่าวเพื่อผลทางการเมืองไม่ได้อีกต่อไป |
๓๙ |
๑๗๑ |
นายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกิน ๘ ปี
|
ไม่มี |
ทำให้นายกรัฐมนตรีไม่สามารถดำรงตำแหน่งยาวนานเกินไปซึ่งอาจเป็นการสร้างอิทธิพลหรือเข้าครอบงำการบริหารประเทศโดยมิชอบได้ |
Û๔๐ |
๒๑๒ |
ประชาชนมีสิทธิฟ้องศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ในกรณีที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ |
ไม่มี |
ประชาชนมีหลักประกันสิทธิและเสรีภาพมากขึ้น |
๔๑ |
๒๑๙ |
ให้ศาลยุติธรรมมีบทบาทพิจารณาและวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
|
ไม่มี |
เนื่องจากอำนาจหน้าที่ของ ก.ก.ต. มีความสำคัญต่อกระบวนการได้มาซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่าง ๆ จึงกำหนดให้มีองค์กรตุลาการเข้ามาตรวจสอบอีกชั้นหนึ่ง ทำให้การใช้อำนาจของ ก.ก.ต. เกี่ยวกับการเลือกตั้งไม่มีลักษณะเด็ดขาดที่ไม่อาจตรวจสอบได้ต่อไป ซึ่งย่อมทำให้การเลือกตั้งมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมขึ้นนั่นเอง |
๔๒ |
๒๔๔ (๓)
๒๔๔ วรรคท้าย |
ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจในการดำเนินการเกี่ยวกับจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจพิจารณาและสอบสวนโดยไม่ต้องมีการร้องเรียนได้ ถ้าเห็นว่ามีการกระทำที่มีผลกระทบต่อประชาชน |
ไม่มี |
ทำให้มีการควบคุมจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอันเป็นวัตถุประสงค์ที่สำคัญของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีผลในทางปฏิบัติได้จริง
ทำให้ประชาชนมีหลักประกันสิทธิและเสรีภาพมากขึ้น |
Û๔๓ |
๒๕๐ (๓)
๒๕๐ (๕) |
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีอำนาจหยิบยกเรื่องขึ้นพิจารณาเองได้โดยไม่ต้องมีการร้องเรียน
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลคุณธรรมและจริยธรรมของ |
ไม่มี |
เนื่องจากบางกรณีผู้ร้องเรียนอาจเกรงกลัวอำนาจทางการเมือง หรือเพราะได้รับผลประโยชน์ตอบแทน จึงไม่มีการร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. จึงสมควรให้ป.ป.ช. สามารถหยิบยกเรื่องขึ้นพิจารณาเองได้
ทำให้มีการควบคุมจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอันเป็นวัตถุประสงค์ที่สำคัญของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีผลในทางปฏิบัติได้จริง |
Û๔๔ |
๒๕๕ |
กำหนดให้องค์กรอัยการมีสถานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
|
ไม่มี |
องค์กรอัยการมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่มากขึ้น ทั้งการทำหน้าที่ฟ้องคดีแทนรัฐ และการยื่นฟ้องผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง |
Û๔๕ |
๒๕๗ |
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง หรือศาลยุติธรรมแทนประชาชนได้ ในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน |
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีเพียงอำนาจในการตรวจสอบและให้คำเสนอแนะเท่านั้น ไม่มีอำนาจในการฟ้องคดีต่อศาลได้ |
การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น |
Û๔๖ |
๒๕๙ วรรคสาม |
การแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น รวมถึงทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่น ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมด้วย |
ไม่มี |
ทำให้โอนทรัพย์ไปไว้กับบุคคลอื่นในลักษณะที่เป็นนอมินี เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป |
Û๔๗ |
๒๖๙ วรรคท้าย |
นอกจากจะห้ามไม่ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทแล้ว
ยังห้ามรวมไปถึงคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุ |
ห้ามเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเท่านั้น ไม่รวมถึงคู่สมรสและบุตรด้วย |
ทำให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีใช้อำนาจในทางบริหารอย่างโปร่งใสมากขึ้น |
๔๘ |
หมวด ๑๓ |
กำหนดเรื่องของจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความชัดเจน ทั้งยังกำหนดให้มีการจัดทำประมวลจริยธรรมให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปีด้วย
|
ไม่มี |
ทำให้การควบคุมใช้อำนาจบริหารประเทศไม่ใช่เพียงแค่ควบคุมความชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แต่จะควบคุมจริยธรรมด้วย เพื่อให้การใช้อำนาจต้องเป็นไปโดยสุจริตและเป็นธรรมด้วย รวมทั้งมีกลไกและบทลงโทษต่อผู้ที่ฝ่าฝืน |
Û๔๙ |
๒๘๗ |
กำหนดเพิ่มเติมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของตนด้วย |
ไม่มี |
ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการบริหารท้องถิ่นมากขึ้น อันเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยที่สำคัญทางหนึ่ง |
Û๕๐ |
๓๐๓ |
กำหนดระยะเวลาในการตรากฎหมายลูก ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปี หรือ ๒ ปี แล้วแต่กรณี
|
ไม่มี |
เพื่อให้มีกฎหมายที่กำหนดรายละเอียด ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน หรือเรื่องอื่นใดที่มีความสำคัญ ให้เร็วที่สุด |