ด่านเก็บค่าบริการเข้าอุทยานฯหาดนพรัตน์ธาราฯจังหวัดกระบี่ถูกเผา
ก่อนเปิดทำการเพียง1วัน
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 31 มีนาคม 2551 พ.ต.ต.จำเริญ สุวรรณชาตรี สารวัตรเวร สภ.เมืองกระบี่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่วิทยาการจังหวัดกระบี่ ได้เดินทางไปตรวจสอบที่บริเวณ ด่านเก็บค่าบริการ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี หมู่ที่ 2 ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ หลังรับแจ้งว่าเมื่อกลางดึกที่ผ่านมาถูกลอบวางเพลิงจนได้รับความเสียหาย โดยมีเจ้าหน้าที่อุทยานฯหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ร่วมตรวจสอบ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบเป็นด่านเก็บค่าบริการของอุทยานฯ จุดที่ 1 ซึ่งอยู่ริมถนนก่อนถึงสามแยกทางไปสำนักงานอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี และท่าเทียบเรือไปเกาะพีพี กว้างประมาณ 4 เมตร ยาว 4 เมตร หลังคามุงกระเบื้อง ผนังทำด้วยปูน สภาพบนเพดานมีร่องรอยถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหาย ส่วนที่ประตูด้านหลังซึ่งทำจากไม้ถูกเพลิงไหม้เป็นเถ้าถ่าน ตรวจสอบที่บริเวณพื้นหน้าประตูห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านหลัง พบเส้นไยเหล็กยางรถยนต์จำนวนหนึ่งตกอยู่บนพื้นคาดว่าเป็นสาเหตุของต้นเพลิง เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ทั้งนี้ก่อนเกิดเหตุ เวลาประมาณ 01.30 น.วันเดียวกัน ชาวบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้เห็น เพลิงลุกไหม้ที่บริเวณด่านเก็บค่าบริการอุทยาน จึงได้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ดับเพลิงอบต.อ่าวนางเข้าไปทำการสกัดเพลิงไม่ให้ลุกลามบริเวณใกล้เคียง แต่ก็ได้รับความเสียหายไปส่วนหนึ่ง เจ้าหน้าที่ประเมินความเสียหายเบื้องต้น 85,000 บาท เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าคนร้ายอาศัยจังหวะที่ไม่มีคนผ่านไปมา ประกอบกับยังไม่มีเจ้าหน้าที่มาอยู่ประจำ นำยางรถยนต์ไปวางซ้อนทับกันแล้วจุดไฟเผาก่อนหลบหนีซึ่งจะได้สืบสวนต่อไป
สำหรับด่านเก็บค่าบริการของอุทยานฯ กำลังอยู่ระหว่างการตกแต่งใกล้แล้วเสร็จ โดยมีกำหนดเปิดทำการในวันที่ 1 เมษายน2551 มีอยู่ด้วยกัน 2 จุด คือ จุดที่ 1ที่บริเวณก่อนถึง3แยกทางไปท่าเทียบเรือ เกาะพีพี และจุดที่ 2 อยู่ที่บริเวณหน้าหาดนพรัตน์ธารา ใกล้กับโรงแรม อโยธยาแอนด์ สปา โดยจะคิดอัตราค่าบริการผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ส่วนชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 400 บาท เด็ก 200 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับด่านเก็บค่าบริการทั้งสองจุด อยู่ในเส้นทางที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวใช้เป็นเส้นทางในการเดินทางไปยังท่าเรือเกาะพีพี และถนนดังกล่าวมีรถโดยสารประจำทางวิ่งผ่านทุกวัน ซึ่งการที่ทางอุทยานฯเรียกเก็บค่าบริการ จึงอาจจะส่งผลกระทบต่อคนและผู้ประกอบการในพื้นที่ เพราะจะต้องผ่านเข้าเขตอุทยานฯ ทุกวันเพื่อประกอบอาชีพประมง และอื่นๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่ถนนเส้นดังกล่าวเกิดก่อนที่จะมีการประกาศเป็นเขตอุทยานฯ
|